Categories
การตลาด

[สรุป] ทำ Marketing สำหรับ Mobile app ให้รุ่ง

ในยุคนี้มี app มากมายไปหมด จะทำ marketing strategy ยังไงให้ดึงดูดใจ และ Hook ให้กลุ่มเป้าหมาย download แอพของเรา

เนื้อหา

ตอนนี้ผู้คนอ่าน ดู และฟังสิ่งต่างๆ ด้วยเวลาที่สั้นลง เพราะข้อมูลในแต่ละวันมีมากขึ้น เราจะทำยังไงให้ดึงดูด หรือสร้างความสนใจให้นานพอที่จะดาวน์โหลดหรือจ่ายเงินซื้อสินค้า

  • Screenshots ทำให้เค้าชอบและอยากใช้ อาจจะแสดงหน้าจอที่แสดงความเจ๋ง คุณค่าสูงสุดที่แอพให้กับเค้า หรือ feature ที่สำคัญที่สุด
  • Videos แสดงให้เห็นว่าจะใช้ในสถานะการจริงได้ยังไง ความสำคัญอยู่ที่เรื่องที่เล่าเพื่อให้เค้าอิน
  • Infographic ใช้รูปคุณภาพสูง เพื่ออธิบายคุณค่าสูงสุดที่โดดเด่น แตกต่าง ที่โน้มน้าวเค้าได้

ที่สำคัญอย่าลอกคนอื่น เพราะไม่มีอะไรดีที่สุดกับทุกงาน จงลงทุนกับการสร้างสรรค์ เพื่อให้ลูกค้าจำแบรนด์ของเราได้

และที่สำคัญมากคืองานต้องสดใหม่และอัพเดตอยู่เสมอ บอกให้เค้ารู้ถึงกำหนดปล่อย feature ใหม่ก็ได้ และถ้ากลายเป็น viral ในทางบวกจนมีการแชร์ต่อจะถือว่าประสบความสำเร็จ

การสื่อสารกับผู้รับสาร

เก็บเกี่ยวทุก feedback และข้อมูลจากลูกค้า เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับ MVP (minimum viable product) ทั้งปรับ Product และ Workflow

การปรับกลยุทย์หลังจากได้ข้อมูลมาเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องมี metrics ที่โปร่งใสและมาประสิทธิภาพ จากนั้นแปลผลให้ดี เพื่อนำมาสู่ไอเดียใหม่ ๆ

หัวใจของ marketing คือการเข้าใจลูกค้า สื่อสารให้มาก เพราะเราไม่สามารถรู้ทุกอย่างจากลูกค้าไม่กี่คน และสำคัญมากที่ต้องดูพฤติกรรมแฝงด้วย ดูให้กว้างและลึกที่สุด

Social Media เป็นสื่อสำคัญระหว่างเรากับลูกค้า ต้องใส่ใจ ให้เวลา ให้ลูกค้ารู้สึกถึงปฏิสัมพันธ์ของทั้ง 2 ทาง ไม่ใช่ไม่ตอบสนอง ให้เค้ารับรู้ถึงการสื่อสารกับ “คน” ไม่อย่างนั้นเค้าจะหนีไป   –ก็เหมือนกับชีวิตจริง

จะดีมากถ้าลูกค้าให้ feedback ผ่านแอพได้ใน click เดียว

ชื่อและ Logo

นี่อาจเป็นสิ่งที่เราให้ความสนใจมาก แต่อย่าให้มันหลอกเรา จนลืมสนใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า

ชื่อที่เป็นการเล่นคำกำลังได้รับความนิยม(อาจเป็นเพราะชื่อทั่วไปมีคนใช้หมดแล้ว) แต่ระวังว่าลูกค้าต้องอ่านออกทุกคน ออกเสียงได้ง่าย จำได้ง่าย   –ชื่อที่ดีคิดยากแต่คุ้ม

ไม่ต้องคาดหวังถึงขั้นลูกค้าจะวาด logo ของเราได้ แค่เห็นแล้วจำได้ ไม่ต้องยัดอะไรลงไปเยอะแยะ ยังมีงานส่วนอื่นให้ยัดไอเดียอีกเยอะ

ทำให้รู้สึกตื่นเต้น

ทุกวันนี้แอพเยอะทำให้ผู้คนรู้สึกชินกับการสื่อสารแบบต่าง ๆ แล้ว ต้องทำให้เค้าสนใจให้ได้ การทำให้เค้าพูดถึง และเป็น word of mouth บน Social Media ควรเป็นเป้าหมาย

ส่งมอบคุณค่า และทำให้ชัดเจน

ผู้คนคาดหวังว่า app ต่าง ๆ จะแก้ปัญหาของเค้าได้ เราต้องสื่อสารว่า app เราดีที่สุดที่เค้าตามหา เราควรสื่อสาร product positioning ออกไปได้ในประโยคเดียว ต้องทำให้เค้าสนใจทันทีที่เห็น เพราะเรามีโอกาสไม่มากนัก

จำเป็นต้องระบุกลุ่มเป้าหมาย ใครต้องการ app ของเรา? ทำไมเค้าถึงต้องการ? จะอธิบายพวกเค้าอย่างไร? และที่สำคัญ เราแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร? ทำให้ถูกต้องในเวลาที่เรายังมีโอกาสทำได้

ต้องให้ข้อมูลในครั้งเดียว พอเค้าโดน hook ค่อยให้รายละเอียด

ทำ SEO ให้ถูกพบได้ง่าย หา keywords, sentences ที่เค้าใช้ และทำ #hashtags บน Social Media ด้วย

Categories
Startup

29 คำถามที่ทำให้คุณรู้ว่าไอเดียของคุณจะสร้างเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพได้หรือไม่

29 คำถามที่ทำให้คุณรู้ว่าไอเดียของคุณจะสร้างเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพได้หรือไม่

Paul Graham ผู้ก่อตั้ง Y Combinator และผู้อยู่เบื้องหลังของ Statups ระดับ Unicorn ทั้งหลาย ได้กล่าวไว้ว่า “วิธีการที่จะหาไอเดียสตาร์ทอัพ ไม่ใช่แค่คิดถึงไอเดียต่างๆ แต่เป็นการมองหาปัญหา โดยเฉพาะปัญหาของเราเอง”

Categories
Startup

ลิ้งค์สำหรับคลาส How to Start a Startup

ลิ้งค์สำหรับคอร์ส How to Start a Startup ที่รวบรวมวิดีโอครบทุก Lecture

How_to_start_a_startup

Categories
Startup

Burn Rate อัตราการเผาเงินทิ้ง

สำหรับคนที่เพิ่งพยายามทำ Startup อย่างผม เรื่องแบบนี้ยังไม่มีประสบการณ์ตรง ยังไปไม่ถึงในจุดนั้น ก็คงต้องศึกษาจากประสบการณ์ของคนที่เค้าเคยผ่านจุดนั้นมาแล้วซึ่งเค้าได้เตือนเอาไว้ และเพื่อเตือนตัวเองไว้ในวันนึงว่าเรื่อง Cash flow นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าอยากให้ธุรกิจของเรายืนได้ยาวๆ เลยเอามาแปะไว้ซะหน่อย

ที่มา http://isriya.com/node/4108/burn-rate

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Marc Andreessen แห่ง a16z ออกมาโพสต์เตือนสภาวะ “ฟองสบู่ 2.0” ของวงการ startup ในซิลิคอนวัลเลย์

ประเด็นที่เขาเตือนนั้นน่าสนใจมาก นั่นคือเรื่อง burn rate หรือ “ค่าใช้จ่ายต่อเดือน” ของ startup ที่ยังไม่มีรายรับ

Andreessen ยกบทความของนักลงทุนสองคนคือ Bill Gurley จาก Benchmark Capital และ Fred Wilson จาก Union Square Ventures ที่เขียนถึงเรื่องนี้

ประเด็นที่ Fred Wilson บอกคือ startup ซิลิคอนวัลเลย์ (รวมถึงที่อื่นๆ ด้วย แต่เน้นซิลิคอนวัลเลย์เป็นหลัก) มักให้ความสำคัญกับ “valuation” หรือมูลค่าบริษัทตามราคาหุ้น (ที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามรอบของการระดมทุน) ซึ่งเขามองว่ามันเป็นตัวเลขในอากาศ ถ้าน้อยไปก็สามารถเพิ่มได้ไม่ยากนัก แต่อันที่ควรจะใส่ใจคือ “burn rate” หรือ “อัตราการเผาเงิน” ซึ่งเป็นของจริง

ส่วน Gurley เตือนว่า startup ยุคนี้ใช้เงินมากเกินไป อาการจะคล้ายกับปี 1999 ก่อนฟองสบู่ดอทคอมแตก เหตุผลที่ใช้เงินเปลืองเป็นเพราะได้เงินมาง่าย (ต้นทุนการเงินต่ำ หรือ low cost capital) นักลงทุนอยากจ่ายเพื่อเกาะกระแส startup บูม แต่สำหรับ startup ที่ยังไม่มีรายได้จริงๆ เข้ามา ถ้ายังใช้เงินเยอะขนาดนี้แล้วฟองสบู่แตก บริษัทก็จะล่มสลายลงแทบจะทันที

Gurley บอกว่าสัญญาณเตือนที่น่าสนใจคือเจ้าของตึกในซานฟรานซิสโก เริ่มเจรจาให้ startup ที่มาเช่าตึกเซ็นสัญญาเช่านาน 10 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณว่าวงการอสังการิมทรัพย์มองว่าฟองสบู่ใกล้แตกแล้ว ทำให้ “อัตราค่าเช่า” ในอนาคตไม่น่าจะขึ้นสูงไปกว่านี้อีก จึงพยายามผูกมัดให้ startup (ซึ่งในที่นี้คือผู้เช่า) จ่ายค่าเช่าในราคาปัจจุบัน (ที่น่าจะสูงที่สุดแล้ว) ไปอีก 10 ปีให้ได้

Andreessen มีมุมมองคล้ายๆ กันคือถ้าตลาดทุนถึง “ขาลง” เมื่อใด startup ที่มี burn rate เยอะๆ จะ “ระเหย” (vaporized) ไปในทันที

เขาแยกแยะข้อเสียของสภาวะที่ burn rate มากๆ ไว้ดังนี้

  • burn rate เยอะแปลว่าบริษัทเริ่มอ้วน ปรับตัวตามตลาดได้ช้าลง เปลี่ยนแปลงได้ยาก
  • การจ้างคนเข้าบริษัทเป็นเรื่องง่าย แต่การปลดคนออกเป็นเรื่องยาก ถ้าจ้างคนห่วยๆ เข้ามาเยอะๆ การปลดออกนั้นไม่ง่าย คนแบบนี้ก็จะอยู่กินเงินเดือนไปเรื่อยๆ
  • บริษัทจะพยายามแก้ปัญหาใดๆ ก็ตามด้วยการจ้างคนเข้ามาเพิ่ม (“งานเยอะเกินไปใช่ไหม จ้างคนเข้ามาอีกสิ”) จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร
  • การที่มีพนักงานเยอะๆ ออฟฟิศสวยๆ ช่วยสร้างสภาวะปลอมๆ ให้รู้สึกว่าบริษัทเริ่มประสบความสำเร็จแล้ว และแรงกดดันที่บีบให้ต้องทำงานจริงๆ ให้สำเร็จนั้นลดลงไป
  • พอคนเยอะ การสื่อสารภายในองค์กรก็เริ่มซับซ้อน กระบวนการทำงานเริ่มช้าลง สภาพการทำงานในบริษัทแย่ลง
  • เมื่อเดือนนึงต้องใช้เงินเยอะ การระดมทุนรอบถัดๆ ไปก็ยากขึ้น เพราะต้องระดมทุนให้ได้เยอะมากขึ้น (มาชดเชยกับ burn rate)
  • หรือต่อให้ระดมทุนได้ เงื่อนไขของเงินที่ได้มาก็จะสลับซับซ้อนขึ้นในแง่ของโครงสร้างผู้ถือหุ้น
  • เมื่อตลาดถึงขาลง โอกาสจะถอนตัวด้วยการขายบริษัทก็ยิ่งน้อย เพราะไม่มีใครอยากมาซื้อกิจการของเราแล้วต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมหาศาลแทนเรา

เนื่องจากตัวผมเองก็เคยผ่านสภาวะการณ์ burn rate สูงๆ มาแล้วเลยรู้ซึ้งในประเด็นนี้ (และจากประสบการณ์ของเพื่อนๆ ในวงการผู้ประกอบการก็มาแนวเดียวกันหมด)

จริงๆ เรื่องนี้วงการผู้ประกอบการเขาสอนกันมานานแสนนานแล้วว่า cash flow เป็นเรื่องสำคัญที่สุด (แต่เราไม่ค่อยจะนึกถึงมันมากนักในช่วงขาขึ้น)

การลดค่าใช้จ่ายไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะเรื่องของคน และการหาเงินทุนเพิ่มในช่วงที่ต้องการเงินก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เวลา ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดในฝั่งของ burn rate คือทำตัวให้ lean ที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแง่ค่าใช้จ่ายประจำ เพื่อให้สามารถปรับตัวหรือพลิกแพลงตามสภาพการณ์ ณ เวลานั้นได้ง่ายที่สุดครับ (การทำตัว lean ยังมีผลช่วยให้มีเงิน cash flow ในมือเยอะขึ้นอย่างที่ควรจะมีด้วย ไม่เสียเงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเสีย)

Photo credit: Lesum Flickr

Categories
Startup

[J-Seed Ventures] หลุมพราง 7 ประการที่สตาร์ตอัพมักทำผิดพลาด

เมื่อวันพุธที่ 1 ตุลาคม 2557 ผมได้ไปร่วมงานของ True Incube งานนี้ด้วย ตอนที่คุณ Jeffrey Char พูด ผมนั่งฟังเพียงอย่างเดียวไม่ได้จดรายละเอียดไว้ เพียงแต่โน้ตจุดสำคัญเพื่อเก็บไว้ทบทวน เพราะมัวแต่เตรียมตัวขึ้น pitch ในช่วง Co-founder dating (ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเพราะจำวันผิด มารู้ตัวตอน 15.30น. แล้ว ซึ่งงานจะเริ่ม 18.00น. แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ขึ้น pitch เพราะตอนนั้นพยายามขายไอเดียเพื่อชักชวนคุณ Art และคุณ Aun มาร่วมทีม) โชคดีที่ทาง blognone เอามาลงไว้ที่ https://www.blognone.com/node/61146 ผมเลยเอามาเก็บไว้ซะหน่อย เพื่อเก็บไว้ทบทวน

ในงานแถลงข่าวของ True Incube เมื่อวานนี้ มีพาร์ทเนอร์ร่วมจัดงานคือคุณ Jeffrey Char ซีอีโอของ J-Seed Ventures บริษัทลงทุนด้านเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น มาร่วมบรรยายด้วย

คุณ Jeffrey เป็นผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์สูง เปิดบริษัทมาแล้ว 15 แห่ง ภายหลังผันตัวมาเป็นนักลงทุน และเดินสายบรรยายเรื่องผู้ประกอบการตามสถาบันการศึกษาทั่วโลก

หัวข้อการบรรยายของคุณ Jeffrey Char พูดเรื่อง “หลุมพราง 7 ประการของสตาร์ตอัพ” (7 Pitfalls That Can Kill Your Startup) น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการในบ้านเรา

J-Seed Venture

คุณ Jeffrey บอกว่าสอนวิชาสตาร์ตอัพมาเยอะ เจอปัญหาที่ซ้ำๆ กัน เลยอยากนำเสนอประเด็นพวกนี้ให้สตาร์ตอัพรุ่นใหม่ๆ ได้เรียนรู้ไว้ จะได้ไม่ทำพลาดซ้ำกันอีก

อย่างแรกสุดเลยคือสตาร์ตอัพมักคิดว่า “ไอเดีย” ของตัวเองเจ๋งมาก และหลงใหลในไอเดียของตัวเอง จนละเลยความเป็นจริงทางธุรกิจ ซึ่งคุณ Jeffrey แนะนำว่าควรเริ่มต้นจาก “ปัญหา” ไม่ใช่ “ไอเดีย” ให้ดูก่อนว่าเรื่องที่เราสนใจมีปัญหาอะไร แล้วค่อยหาวิธีแก้ปัญหานั้น

การเริ่มต้นที่ “ปัญหา” จะช่วยให้เราอยู่กับโลกความเป็นจริงมากขึ้น เพราะปัญหามีอยู่จริง (แค่ยังไม่ถูกแก้ไข) แต่ไอเดียนั้นไม่รู้เลยว่าจะใช้งานได้จริงหรือไม่

J-Seed Venture

ประเด็นที่สองต่อเนื่องมาจากประเด็นแรก คือเรารีบลงมือสร้างผลิตภัณฑ์เร็วเกินไป กระบวนการที่ถูกต้องคือทดสอบ “ปัญหา” ก่อนว่ามันมีจริงหรือไม่ มันร้ายแรงแค่ไหน ข้อสันนิษฐานต่างๆ ของเราถูกต้องหรือไม่ จากนั้นค่อยลงมือสร้างผลิตภัณฑ์

J-Seed Venture

หลุมพรางประการที่สามคือเรามัวแต่ไปจดจ่อกับการสร้าง “ผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์” ซุ่มทำอยู่นาน พอทำเสร็จแล้วพบว่าไม่มีใครสนใจเราเลย

กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องคือค่อยเป็นค่อยไป สร้างต้นแบบขั้นต่ำ (MVP หรือ minimum viable product) ขึ้นมาก่อน แล้วค่อยๆ รับฟังความเห็นจากลูกค้า ก่อนจะปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของเราไปเรื่อยๆ วิธีนี้จะช่วยให้เราอยู่กับโลกความเป็นจริงได้ดีขึ้น

J-Seed Venture

ประการที่สี่ ระดมทุนเร็วเกินไป คุณ Jeffrey บอกว่าการได้เงินมาเร็วเกินไปทำให้เราใช้เงินเปลือง และ “สิ้นเปลืองความสัมพันธ์” (burn relations) ของเรากับคนที่ควรจะพึ่งพิงได้ไปอย่างที่ไม่สมควรจะเป็น

ทางแก้ปัญหาก็ให้กลับไปที่ข้อแรกคือ กลับไปโฟกัสที่ปัญหาก่อน ถ้ายังหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้จริง อย่าเพิ่งระดมทุน

J-Seed Venture

หลุมพรางอย่างที่ห้า ขยายตัวเร็วเกินไป เป็นประเด็นที่ควบคู่ไปกับการระดมทุนเร็วเกินไป

คุณ Jeffrey เล่าประสบการณ์ว่าเขาเคยเปิดบริษัทแห่งหนึ่ง ตอนเดือนกุมภาพันธ์ยังไม่มีพนักงานเลย พอถึงเดือนธันวาคม มีพนักงานมากถึง 100 คน อัตราการเติบโตขนาดนี้คุมไม่ได้ สุดท้ายบริษัทนี้เจ๊ง

J-Seed Venture

หลุมพรางอย่างที่หก วัฒนธรรมองค์กร

คุณ Jeffrey แนะนำให้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีขึ้นมา เพราะจะมีประโยชน์มากในระยะยาว องค์กรที่มีวัฒนธรรมแข็งแรงจะมีขั้นตอนการตัดสินใจน้อย คนในองค์กรจะระลึกถึงวัฒนธรรมองค์กรเสมอแล้วตัดสินใจได้ว่าควรทำหรือไม่ควร ทำอะไร

เทคนิคการสร้างวัฒนธรรมองค์กรคือเลือกคำที่เราอยากให้เกิดเป็นค่านิยมของ องค์กรมาสัก 1-2 คำ แล้วพูดย้ำเรื่องนี้อยู่เสมอเพื่อให้คนทั้งองค์กรจดจำได้ ส่วนค่านิยมจะเป็นอะไรนั้นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจ

J-Seed Venture

หลุมพรางอย่างสุดท้าย จงสร้างทีมที่มีทักษะแตกต่างหลากหลาย เพราะการสร้างธุรกิจจำเป็นต้องใช้ทักษะหลายๆ อย่าง เราไม่ควรนำเพื่อนร่วมทีมที่มีทักษะประเภทเดียวกันมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง

คุณ Jeffrey แนะนำให้เราหัดทำความรู้จักกับคนหลายๆ ประเภท ถึงแม้จะฝืนอยู่บ้างในช่วงแรกๆ เพราะธรรมชาติของคนมักนิยมคุยกับคนที่สนใจหัวข้อเดียวกันมากกว่า แต่ถ้ามองถึงประโยชน์ระยะยาวแล้ว ก็ควรเป็นเพื่อนกับคนหลายๆ แบบ

J-Seed Venture

Categories
Startup

คอร์ส How to Start a Startup

คอร์ส How to Start a Startup นี้เป็นคอร์สของมหาวิทยาลัย Standford ซึ่งเชิญคนที่ประสบความสำเร็จในวงการ Startup ของอเมริกามาสอน และเปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าเรียนได้ฟรี สามารถเข้าไปเรียนได้ที่ http://startupclass.samaltman.com

Lecture 1: Welcome, and Ideas, Products, Teams and Execution Part I,  Why to Start a Startup
สอนโดย Sam Altman  , Dustin Moskovitz

 

Lecture 2: Ideas, Products, Teams and Execution Part II
สอนโดย Sam Altman

 

Lecture 3: Counterintuitive Parts of Startups, and How to Have Ideas
สอนโดย Paul Graham

 

Lecture 4: Building Product, Talking to Users, and Growing
สอนโดย Adora Cheung

 

Lecture 5: Business Strategy and Monopoly Theory
สอนโดย Peter Thiel

 

Lecture 6: Growth
สอนโดย Alex Schultz

 

Categories
Startup

11 ประโยคเด็ดจาก How to start a start up

ช่วงนี้คอยติดตามคอร์สนี้ http://startupclass.samaltman.com/ พอดีว่ามีคนสรุป Quote จากคอร์สนี้ เลยเอามาแปะซะหน่อย

ที่มา : https://www.facebook.com/techstartupth/

11 ประโยคเด็ดจาก How to start a start up ซึ่งเป็นคลาสสอน startup ที่ stanford โดยกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในวงการ tech startup

แอดมินเห็นว่ามีประโยชน์มากๆ เลยขออนุญาติเอามาแชร์ให้ได้อ่านกันครับ

คาบแรก Ideas, Products, Teams and Execution, Part I
ผู้สอน Sam Altman (YCombinator President), Dustin Moskovitz (Co-Founder of Facebook)

1. คุณไม่ควรจะเริ่มทำ startup เพียงเพราะอยากได้เงิน โลกนี้มีหลากหลายวิธีในการหาเงิน คุณควรจะมี Passion ก่อนแล้วถึงเริ่มทำ startup

2. โลกอยากให้คุณสร้างอะไรซักอย่าง ถ้าสิ่งที่คุณทำไม่ใช่สิ่งที่โลกต้องการ คุณควรจะหาอย่างอื่นที่โลกต้องการ – มันคือ passion ครับ คุณต้องรู้สึกว่า ถ้าคุณไม่ทำก็คงไม่มีใครทำอีกแล้ว คุณถึงออกมาลุย startup เต็มตัว

3. Startup ที่ประสบความสำเร็จมักจะเริ่มจากไอเดียที่สุดยอด บริษัทที่ทำๆ อยู่แล้วเปลี่ยนไปทำไอเดียที่ไม่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกมักจะไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนที่ประสบความสำเร็จคือเปลี่ยนโดยมีพื้นฐานจากไอเดียเดิม

4. คุณควรจะมีไอเดียก่อนเริ่มทำ startup ถ้าคุณมีไอเดียหลายๆ อันที่รู้สึกว่ามันดี ให้เริ่มทำไอเดียที่คุณนึกถึงมันมากที่สุด

5. คุณต้องการทำในสิ่งที่ตลาดจะเติบโตในอีก 10 ปี นักลงทุนส่วนใหญ่มักมองพลาดมาดูแต่การเติบโตของ startup นั้นๆ แต่ลืมไวไปว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่สำคัญกว่าคือโอกาสเติบโตของ market – ยกตัวอย่างเช่น facebook ที่ตอนแรกโตแค่ในมหาวิทยาลัย แต่การเติบโตของตลาด social network นั้นรวดเร็วมากๆ กว่าการโตของผู้ใช้บน facebook ซะอีก

6. ถ้าคุณสร้างสิ่งที่คุณต้องการใช้เองคุณจะเข้าใจมันได้ดีกว่าการไปสร้างสิ่งที่คุณต้องไปทำความเข้าใจด้วยการพูดคุยกับคนอื่น

7. ถ้าการอธิบายสินค้าหรือบริการของคุณต้องใช้ประโยคหลายๆ ประโยค นั่นอาจจะเป็นสัญญาณว่าสินค้าของคุณซับซ้อนเกินไป – พยายามทำให้มันง่ายๆ เข้าไว้

8. อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ ในการทำ startup คือการหา co-founder ที่ดี คุณต้องรู้จักออกไปพบปะผู้คนในวงสังคมบ้าง เผื่อจะมีโอกาสได้เจอ co-founder ที่ถูกใจ

9. เวลา startup ที่ประสบความสำเร็จเล่าถึงเรื่องราวช่วงแรกๆ ในการทำ startup ส่วนใหญ่จะเล่าคล้ายๆ กัน คือทุกคนนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างสินค้าหรือไม่ก็พูดคุยกับลูกค้า พวกเค้าแทบจะไม่ทำอย่างอื่นเลย

10. การสร้างอะไรซักอย่างที่ผู้ใช้จำนวนน้อยรักมัน ดีกว่า การสร้างอะไรซักอย่างที่มีคนชอบจำนวนมาก – คุณจะเติบโตได้ต้องอาศัยการบอกต่อ คนที่รักสินค้าของคุณจะบอกต่อ คนที่แค่ชอบสินค้าของคุณจะไม่บอกต่อ

11. ไอเดียเจ๋งๆ จะฟังดูแย่ในตอนแรก ส่วนไอเดียที่ดีจริงๆ จะฟังดูไม่น่าขโมยมาทำ – ไอเดียที่ดีๆ และใครๆ ก็มองออกจะถูกบริษัทใหญ่ๆ เอาไปทำอยู่แล้ว ส่วน startup มักจะทำอะไรที่ดูบ้าบอแต่จริงๆ แล้วมันกับเป็นไอเดียที่ฉลาดมากๆ

11 ข้อนี้คือจากคาบเดียวนะครับ บอกได้เลยว่าเป็นบทเรียนที่คุ้มค่ามากๆ สุดท้ายนี้แอดมินขอจบด้วยรูปภาพของประโยคคลาสสิคที่มีการใช้ในสไลด์การสอนนี้ด้วย

“Great products win”

ดูเต็มๆ ได้ที่นี่ http://www.youtube.com/watch?v=CBYhVcO4WgI
http://venturebeat.com/2014/09/25/how-the-tech-elite-teach-stanford-students-to-build-billion-dollar-companies-in-11-quotes/

Categories
Android iOS Mobile Startup

เรียนรู้การสร้าง Mobile application จาก Facebook

มาลองดูแนวทางการพัฒนา Mobile App จากทีมงานของ facebook กันหน่อย

ที่มา http://www.somkiat.cc/how-facebook-make-mobile-app/

ในงาน @Scale Conference
ทีมพัฒนา Mobile application ของ Facebook ได้มาพูดเกี่ยวกับ
การพัฒนาระบบเพื่อให้สามารถทำงานได้บนมือถือและ network ต่างๆ ทั่วโลกได้

มาดูกันว่าทีมพัฒนาของ Facebook ทำการพัฒนา สร้าง product กันอย่างไร
เพื่อรองรับการใช้งานจากคนทั้งโลกกันอย่างไร

สิ่งที่ทางทีมพัฒนาชี้ประเด็นคือ

เรื่องความเร็ว network ของมือถือ
ซึ่งเป็นปัญหาแรกๆ ที่พบเจอ โดยสรุปได้ว่า

  • ในประเทศสหรัฐอเมริกา นั้นความเร็วของเครื่องข่าย 3G ใช้เวลาในการรับส่งข้อมูลต่อครั้ง 280 milisecond
  • ในประเทศอินเดีย นั้นความเร็วของเครื่องข่าย 3G ใช้เวลาในการรับส่งข้อมูลต่อครั้ง 500 milisecond
  • ในประเทศบราซิล นั้นความเร็วของเครื่องข่าย 3G ใช้เวลาในการรับส่งข้อมูลต่อครั้ง 800 milisecond

โดยทีมพัฒนาที่ทำการวิจัยสามารถสรุปกลุ่มผู้ใช้งาน facebook ไว้ง่ายๆ ว่า

Not everyone is on a fast
Not everyone has a large screen
Not everyone is on a fast network

ดังนั้น สิ่งที่ทางทีมพัฒนาจะเน้นเป็นพิเศษ คือ เรื่องปัญหาของ network

สิ่งที่ต้องจัดการประกอบไปด้วย 3 เรื่องคือ

  1. ขนาดของรูป ที่ต้องทำการ download ผ่าน network
  2. การตรวจสอบคุณภาพของ network ก่อนเลือกวิธีการทำงานให้เหมาะสม
  3. การแอบดึงข้อมูลบางส่วนมาก่อน

1. การลดขนาดของรูป

รูปแบบที่ใช้สำหรับรูปภาพคือ WebP
ซึ่งสร้างด้วยทีมของ Google ในปี 2010

จากข้อมูลของการใช้งาน Facebook for Android นั้นพบว่า 85% คือรูปภาพ
และ Facebook messenger นั้นพบว่า 67% คือรูปภาพ
ดังนั้น ถ้าสามารถลดขนาดของรูปภาพได้
ก็จะทำให้ application ทำงานได้เร็วขึ้น

ดังนั้นสิ่งที่ทีมพัฒนาต้องทำมีดังนี้

สิ่งแรกคือ การส่งข้อมูลที่เหมาะสมมาให้ผู้ใช้งาน
หมายความว่า จะทำการตรวจสอบก่อนว่าผู้ใช้งานนั้นเป็นอย่างไร
เช่นมีความเร็วของ network ความสามารถของมือถือ หรือ tablet และ ขนาดของหน้าจอ เป็นต้น
ทำให้ server สามารถเลือกข้อมูลที่เหมาะสมได้ เช่น ขนาดของภาพ
จะได้ไม่เปลือง bandwidth และ เปลืองเวลาในการรอของผู้ใช้งาน

แต่ในปัจจุบันเรื่องขนาดหน้าจอที่ใหญ่ และ ละเอียดขึ้น
ส่งผลให้ต้องส่งรูปภาพที่ละเอียด และ ขนาดใหญ่ขึ้น
ซึ่งวิธีการนี้อาจจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไรนัก
แต่โดยรวมแล้วถือว่าคุ้มกับการลงมือทำ

สิ่งต่อมาคือ การเปลี่ยนรูปแบบของรูปภาพมาอยู่ในรูปแบบ WebP
ซึ่งสามารถลดขนาดของภาพ JPEG ลงไปได้ 7% เมื่อต้องการคุณภาพเท่ากัน
แต่ถ้าทำการเปลี่ยนแปลงค่าต่างๆ เช่นคุณภาพ สามารถลดขนาดภาพลงไปมากกว่า 30%
สามารถลดขนาดภาพลงไปมากกว่า 80% ของรูป PNG
เป็นการปรับปรุงที่ได้ผลดีมากมาย

สำหรับใน Android เวอร์ชั่นเก่าๆ ที่ไม่สนับสนุน WebP นั้น
ใช้วิธีการส่งข้อมูลเป็น WebP แต่ในการแสดงผลยังเป็น JPEG อยู่

2. การตรวจสอบคุณภาพของ Network

สิ่งหนึ่งที่ทางทีมพัฒนาได้เรียนรู้ก็คือ อย่าตัดสินเรื่องความเร็วของ Network ต่างๆ
ตาม technology เช่น 2G, 3G, LTE และ WIFI เป็นต้น
เพราะว่า แต่ละประเทศมันมีความเร็วที่แตกต่างกันมากพอสมควร

ดังนั้น สิ่งที่นำมาใช้ในการตัดสินใจก็คือ
การวัดจากความเร็วจากผู้ใช้งานที่เกิดขึ้นจริงๆ ณ ขณะนั้น

โดยจะวัดจากความเร็วของ network ที่ใช้งานตอนนั้น
ซึ่งทุกๆ response ที่ส่งกลับมาจาก server ของ Facebook
จะมี RTT (Round Trip Time) มาให้เสมอ เพื่อใช้ประมาณเวลาการรับส่งข้อมูล
และการตัดสินใจว่าจะส่งข้อมูลมาให้ด้วยคุณภาพสูงหรือต่ำเพียงใด
แบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ

  1. Poor มีความเร็วน้อยกว่า 150kbps
  2. Moderate มีความเร็วระหว่าง 150-600kbps
  3. Good มีความเร็วระหว่า 600-2000kbps
  4. Excellent มีความเร็วมากกว่า 2000kbps ขึ้นไป

เมื่อรู้คุณภาพของ network แล้ว สิ่งที่จะต่อไปที่ต้องทำก็คือ

  • การเพิ่มหรือลดคุณภาพของข้อมูล
  • การส่งข้อมูลแบบขนานหรือไม่
  • การเปิดและปิด Auto play ของ VDO
  • การแอบดึงข้อมูลบางอย่างมาก่อน

ในการทดสอบนั้น ทีมพัฒนาได้สร้างระบบภายในที่เรียกว่า  Air Traffic Control ขึ้นมา
เพื่อจำลองรูปแบบต่างๆ ของ network
ทำให้เจอปัญหาที่ไม่คาดคิด บนระบบ network ที่ช้าได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งทำให้แก้ไขได้อย่างรวดเร็ว

3. การดึงข้อมูลบางส่วนมาไว้ก่อน (Prefetch content)

เนื่องจากปัญหาความเร็วของ Network ดังนั้นระบบอาจจะต้องทำการดึงข้อมูลบางอย่าง
ที่ยังไม่ถูกใช้งานมาเก็บไว้ก่อน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จำเป็นต่อการทำงาน

ยิ่งถ้า network ที่ช้าๆ แล้วจะพบว่า จะทำการดึงข้อมูลมาไม่ทัน
เช่นดึงข้อมูลมาไม่ได้ แล้ว ผู้ใช้งานจะพบเจอกับรูปภาพหน้าขาวขึ้นมา (ผมเจอประจำเลย)

โดยการดึงข้อมูลมาก่อนนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่ตอนเปิด application ขึ้นมาใช้งาน
หรือทำในขณะที่กำลังใช้งานก็ได้

แต่สิ่งที่ต้องคำนึง คือ การดึงข้อมูลต้องไม่ไปทำให้ผู้ใช้งานสะดุด
หรือ block การใช้งานของผู้ใช้งานโดยเด็ดขาด
นั่นคือต้องแยกการทำงานระหว่าง foreground process และ background process ออกจากกัน
รวมทั้งไม่ดึงข้อมูลที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นมาด้วย

และสิ่งสำคัญสุดๆ ก็คือ
ต้องมีระบบ monitoring สำหรับดูว่าผู้ใช้งานแต่ละคนหรือแต่ละเครื่อง
ไม่ทำการดึงข้อมูลมาไว้ก่อนมากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นจะเปลือง bandwidth การใช้งานมากๆ

ปิดท้าย

ทีมพัฒนานายังบอกด้วยว่า Facebook application for Android นั้นมีไฟล์ APK มากกว่า 20 ไฟล์
ซึ่งแยกตาม API Level, ขนาดของหน้าจอ และ สถาปัตยกรรมของ CPU อีกด้วย
มันไม่ใช่เรื่องที่ง่าย หรือ เล่นๆ เลยนะ

ดังนั้นลองนำแนวคิดเหล่านี้ ไปใช้เพื่อปรับปรุง Mobile application กันได้
น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ

Reference VDO

Categories
Commerce Startup การตลาด ข้อคิดดีๆ คำคม ธุรกิจ ภาวะผู้นำ เรื่องน่าอ่านๆ

[เก็บไว้อ่าน] แจ็ค หม่า จาก 500 บาทเป็น 5ล้านล้านบาท สอนการใช้ชีวิตและธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

เมื่อวานอ่านเรื่องของ แจ็ค หม่า ที่หลายคนแชร์กันใน facebook แล้วรู้สึกว่าชอบนะ เลยขอเก็บไว้อ่านซ้ำในคราวหลัง เพราะแม้จะเป็นเรื่องเดิม แต่อ่านคนละเวลา คนละช่วงชีวิต มันก็อาจให้แนวคิดที่ไม่เหมือนกันได้

 

ที่มา http://hackerlife.in.th/แจ็ค-หม่า-จาก-500-บาทเป็น-5ล้า/

แจ็ค หม่า จากชายผู้มีเงินเดือน 500 บาท ตอนนี้บริษัท Alibaba ของเค้ามีมูลค่ามากกว่า 5ล้านล้านบาท เป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่า eBay, Twitter และ LinkedIn รวมกัน เมื่อวันที่ Alibaba Group ขายหุ้น IPO เป็นวันแรก ก็ขึ้นแซง Facebook เลย! นับเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในจีนตอนนี้

วันนี้แฮกชีวิตนำคำสอนของ แจ็ค หม่า ว่าเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตและธุรกิจได้อย่างไรบ้าง

แจ็ค หม่า: สิ่งที่ผมเสียใจที่สุด

เมื่อปีค.ศ. 2001 ผมได้ทำสิ่งผิดพลาด ซึ่งสิ่งนั้นคือ ผมได้บอก 18 คนผู้ร่วมลงเรือลำเดียวกันในการเริ่มธุรกิจกับผมว่า ตำแหน่งสูงสุดที่พวกเขาสามารถไปได้คือการทำงานในตำแหน่งระดับการจัดการเท่านั้น

ส่วนตำแหน่งประธานและตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของเรานั้นเราจำเป็นจะต้องจ้างบุคคลภายนอกมาบริหารงาน แต่ไม่กี่ปีต่อมา พวกเค้าเหล่านั้นก็ลาออก…

แต่คนที่ผมสงสัยในความสามารถตั้งแต่ร่วมทุกร่วมสุขกันมาก็ขึ้นมาเป็นประธานบริหารและผู้อำนวยการ

จากนั้นจึงทำให้ผมเชื่ออยู่ใน 2 หลักการ คือ

  • ทัศนคติของคุณนั้นสำคัญกว่าความสามารถ
  • และการตัดสินใจของคุณนั้นก็สำคัญกว่าความสามารถ

แจ็ค หม่า: คุณไม่สามารถที่จะทำให้คนทุกคนนั้นคิดคล้ายๆกันได้หรอก แต่คุณสามารถที่จะทำให้ทุกคนนั้นไปในแนวทางเดียวกันได้ด้วยเป้าหมายเดียวกัน

อย่าพยายามแม้แต่จะคิด ว่าคุณจะทำให้ทุกๆคนคิดเหมือนๆกันได้… มันไม่มีทางเป็นไปได้!

จาก 30% ของผู้คนทั้งหมดนั้น จะไม่มีวันเชื่อคุณเลย

อย่าพยายามทำให้เพื่อนร่วมงานและพนักงานทำงานให้คุณ แต่ทำให้เค้าทำงานเพื่อเป้าหมายร่วมกันต่างหาก

มันง่ายกว่ามากที่จะให้บริษัทรวมใจกันอยู่ภายใต้เป้าหมายร่วมกัน มากกว่าการรวมใจไปอยู่ที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

แจ็ค หม่า: อะไรที่มีในตัวผู้นำแต่พนักงานธรรมดาไม่มี

คนที่เป็นผู้นำนั้นไม่ควรนำทักษะเชิงเทคนิคไปเปรียบเทียบกับพนักงานของเค้า ซึ่งพนักงานของคุณจำเป็นต้องมีทักษะเชิงเทคนิคมากกว่าคุณ ถ้าหากเค้าไม่มี แสดงว่าคุณจ้างคนผิดแล้วล่ะ

แล้วอะไรละที่ทำให้ผู้นำโดดเด่น

  • ผู้นำนั้นควรจะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าพนักงานธรรมดา
  • ผู้นำควรจะมีกล้าหาญ ยืดหยัด และความอดทนในสิ่งที่พนักงานธรรมดาไม่สามารถทำได้
  • ผู้นำควรจะมีความอึดและความสามารถที่จะยอมรับสิ่งที่ล้มเหลวได้

แน่นอนว่าคุณภาพของผู้นำที่ดีนั้นอยู่ที่วิสัยทัศน์ แรงใจและความสามารถ

แจ็ค หม่า: อย่าริยุ่งการเมือง

คุณต้องเข้าใจเสมอว่าเงินและอำนาจทางการเมืองมันอยู่ที่เดียวกันไม่ได้ หากคุณอยู่ในการเมือง ก็ไม่ควรคิดเรื่องเงินอีกต่อไป หากคุณทำธุรกิจ ก็อย่าเที่ยวไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หากสองอย่างนี้เจอกันเมื่อไหร่ละก็ รอวันจบไม่สวย… :)

แจ็ค หม่า: 4 คำถามที่เด็กรุ่นใหม่ควรจะเฝ้าถามตัวเอง

ความล้มเหลวคืออะไร: การยอมแพ้นั้นเป็นความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ความยืดหยุ่นคืออะไร: คุณจะเข้าใจความหมายของคุณก็ เมื่อคุณผ่านความยากลำบาก ผ่านความทุกข์และความผิดหวัง มาแล้วเท่านั้น

ความรับผิดชอบและหน้าที่คืออะไร: คือการที่จะต้องขยันมากขึ้น ทำงานหนักและความทะเยอทะยานกว่าคนอื่น ๆ คนโง่เท่านั้นที่ใช้ปากของพวกเขาที่จะพูด คนฉลาดใช้สมองของเขา และคนที่ปราดเปรื่องจะใช้หัวใจของเขา

แจ็ค หม่า: คนเรานั้นเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตและหาประสบการณ์ชีวิต

ผมบอกกับตัวเองเสมอว่าคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงาน แต่เพื่อสนุกกับชีวิต และเราเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่ดีกว่า ไม่ได้เพื่อทำงาน หากคุณใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อทำงาน คุณจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน

ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมากเพียงใดก็ตาม คุณจะต้องจำไว้ว่า เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ถ้าคุณยุ่งแต่กับการทำงาน ในที่สุดคุณจะต้องเสียใจ

แจ็ค หม่า กล่าวถึง เวทีแข่งขันและการแข่งขันในธุรกิจ

  1. พวกที่บ้าแข่งขันกันอย่างระห่ำนั้นคือพวกโง่
  2. หากคุณมองทุกคนรอบตัวเป็นศัตรู ทุกคนรอบตัวคุณก็จะเป็นศัตรูของคุณ
  3. หากคุณทำการแข่งขันกับคู่แข่ง อย่าพยายามใช้ความเกลียดชัง ความเกลียดจะทำให้คุณพ่ายแพ้
  4. การแข่งขันนั้นคล้ายๆการเล่นหมากกระดานหากคุณแพ้กระดานนี้ คุณก็มีโอกาสเล่นต่อในกระดานต่อไป ดังนั้นทั้งสองฝั่งไม่ควรจะสู้กันเอง
  5. นักธุรกิจที่แท้จริงนั้นไม่ควรมีศัตรูเลย หากใครเข้าใจจุดนี้ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ในโลกธุรกิจ

แจ็ค หม่า: อย่าจู้จี้ขี้บ่นเป็นนิสัย

ถ้านานๆครั้ง ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หากบ่นเป็นนิสัยแล้ว คุณก็จะยิ่งบ่นมากขึ้นไปอีก เปรียบได้กับดื่มน้ำทะเล ยิ่งดื่มก็ยิ่งกระหาย ดื่มไปไม่ได้ช่วยอะไร การบ่นก็เหมือนกัน การบ่นเยอะๆมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น หนทางสู่ความสำเร็จนั้น คุณจะสังเกตได้ว่าผู้ที่สำเร็จมักจะไม่ขี้บ่น…

โลกนี้จำไม่ได้หรอกว่าคุณพูดอะไรไป แต่จะไม่ลืมสิ่งที่คุณทำ

คำแนะนำของ แจ็ค หม่า สำหรับผู้ประกอบการ

  1. โอกาสที่ทุกคนไม่เห็นนั้นคือโอกาสที่แท้จริง
  2. ต้องให้พนักงานคุณมาถึงที่ทำงานด้วยรอยยิ้มเสมอ
  3. ลูกค้าต้องมาอันดับ 1, พนักงานอันดับ 2, และผู้ถือหุ้นมาอันดับ 3
  4. นำมาใช้และเปลี่ยนแปลงก่อนเทรนด์หรือการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆจะเกิดขึ้น
  5. ลืมเรื่องเงิน ลืมเรื่องการหาไปเงินซะ
  6. แทนที่จะไปเสียเวลากับเทคนิคเล็กน้อยการเรียกลูกค้าใหม่ ควรมุ่งเน้นไปที่การครองใจและดูแลลูกค้าเก่า
  7. ทัศนคติของคุณจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะไปได้ไกลแค่ไหน

แจ็ค หม่า กล่าวถึง การเป็นผู้ประกอบการ

  1. โอกาสที่ยิ่งใหญ่นั้นมักจะอธิบายชัดเจนไม่ได้ ส่วนสิ่งที่อธิบายชัดเจนได้นั้นมักจะไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุด
  2. คุณควรจะหาคนที่มาทำให้บริษัทสมบูรณ์ขึ้น โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องหาคนที่ประสบความสำเร็จ หาคนที่ใช่ ไม่ใช่หาคนที่ดีที่สุด
  3. สิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือมากที่สุดในโลกนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
  4. “ฟรี” เป็นคำที่แพงที่สุด
  5. วันนี้เป็นวันที่โหดร้าย พรุ่งนี้จะเป็นวันที่จะแย่กว่า แต่มะรืนนี้จะเป็นวันที่สวยงาม

แจ็ค หม่า: 4 สิ่งต้องห้ามของผู้ประกอบการ

  • สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการเริ่มต้นธุรกิจคือ การที่ไม่สามารถจะมองเห็น ประมาท ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่สามารถรักษาระดับได้
  • ถ้าคุณไม่ทราบว่าคู่แข่งของคุณอยู่ที่ไหน มั่นใจเกินเหตุและประมาทคู่แข่งเกินไป ในที่สุดคุณก็จะตามหลังเค้า

“First they ignore you, then they laugh at you, then they fight you, then you win.” อย่าเป็น “they” ในประโยคข้างต้น

  • ถึงแม้คู่แข่งของคุณยังเล็กหรืออ่อนแอ่ คุณควรประเมินเค้าอย่างจริงจังและปฏิบัติต่อเค้าเหมือนเค้าเป็นยักษ์ใหญ่
  • ในทางเดียวกัน หากคู่แข่งของคุณเป็นยักษ์ใหญ่ คุณก็ไม่ควรมองตัวเองว่าอ่อนแอ

แจ็ค หม่า กล่าวถึง การเปิดบริษัทของคุณเอง

ความหมายของการเริ่มต้นบริษัทคือ: คุณจะสูญเสียรายได้ที่มั่นคง คุณจะมีสิทธิ์หยุดได้ตามใจ จะได้โบนัสหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของคุณ อย่างไรก็ตาม มันก็หมายความว่า รายได้ของคุณก็จะไม่ถูกจำกัด คุณจะใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและคุณจะไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากคนอีกต่อไป

หากคุณมีความคิดที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ของคุณก็จะแตกต่าง: ถ้าคุณตัดสินใจเลือกสิ่งที่แตกต่างจากคนรอบข้างคุณ ชีวิตของคุณจะแตกต่างจากคนรอบข้างคุณ

แจ็ค หม่า กล่าวถึง เรื่องโอกาส

ถ้าหากมีข้อเสนอนึงมาแล้วคนส่วนใหญ่ตอบว่า “ใช่” เกินกว่า 90%, ผมก็จะทิ้งข้อเสนอนั้นลงถังขยะทันที

เหตุผลง่ายนิดเดียว: ถ้าหากมีคนเยอะขนาดนี้คิดว่าข้อเสนอนี้ดี แสดงว่ามีคนอีกเยอะที่กำลังทำงานนี้อยู่ และโอกาสนั้นมันก็ไม่ได้เป็นของเราแล้ว

6725861247_998c646b87_o

Categories
Startup ข้อคิดดีๆ เรื่องชวนคิด จากประสบการณ์

นักปัจจุบันนิยม

หลายคนพยายามสร้างบางอย่างที่เป็นนวัตกรรม แต่กลับต้องล้มเหลว จึงเกิดคำถามว่าทำไม?

เราอาจจะเคยเห็นของ 2 สิ่ง โดยที่อันนึงเป็นนวัตกรรมที่ใหม่มากๆ เจ๋งมากๆ แต่กลับล้มเหลว แต่อีกอันที่ไม่ได้มีนวัตกรรมที่ล้ำหน้ามากนักกลับอยู่รอดได้

เรามักคิดว่าสร้างนวัตกรรมนั้นต้องเป็นสิ่งใหม่ สิ่งที่แปลกกว่าในปัจจุบัน สิ่งที่ต้องไม่เคยมีใครทำมาก่อน ความคิดนี้อาจจะเคยเป็นจริงในยุคหนึ่ง แต่ในยุคนี้ ยุคที่ทุกอย่างซับซ้อนขึ้น บางครั้งการจะสร้างนวัตกรรมต้องคิดให้ง่าย ทำให้ง่าย เพราะคู่แข่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่คู่แข่งทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่กลับเป็น ลูกค้าซึ่งเปลี่ยนแปลงช้ากว่าที่เราคิด การพยายามสร้างอะไรที่ใหม่จนเกินไป อาจไม่สามารถทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ หรือไม่อาจเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกค้ามาใช้ผลิตภัณฑ์ของเราได้

ดังนั้นการประดิษฐ์อะไรซักอย่างในยุคที่ต้นทุนของการสร้างนวัตกรรมมีราคาถูกมากจนเกือบจะเป็นศูนย์ แนวทางการสร้างนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงไปด้วยแนวทางต่อไปนี้

Deploy or Die คุณต้องสร้างสิ่งประดิษฐ์ของคุณออกมาสู่โลกจริงๆ มันถึงจะมีคุณค่า ไม่ต้องรอใครมาอนุมัติ หรือสนับสนุน

Pull over Push คุณควรสามารถดึงสิ่งที่คุณต้องการ คนที่คุณต้องการ เข้ามาได้ด้วยพลังของเครือข่าย โดยไม่ต้องสะสมเงินและพลังอำนาจไว้มากมาย

Learning over Education การศึกษาคือสิ่งที่คนอื่นทำกับคุณ แต่การเรียนรู้คือสิ่งที่คุณทำกับตนเอง การศึกษาพยายามคิดแทนคุณว่าในชีวิตของคุณจำเป็นต้องรู้อะไรบ้าง ให้คุณต้องคอยท่องจำสิ่งต่างๆ อยู่เกือบ 20 ปี ก่อนจะปล่อยให้คุณออกไปเล่นกับโลกภายนอก แต่โลกอยู่ตรงหน้าของคุณแล้ว คุณไม่ต้องรอให้ใครมาคิดแทนว่าคุณควรรู้อะไร จงออกไปเล่น หากไม่รู้อะไรค่อยกลับมาเรียนรู้ ทุกวันนี้เราสามารถหาความรู้ทุกอย่างได้จากอินเทอเน็ตอยู่แล้ว

Compass over Map การพยายามสร้างแผนที่อย่างละเอียดก่อนออกเดินทางนั้นแพงมาก และไม่ค่อยจะแม่นยำ เราเพียงต้องมีเป้าหมาย แล้วออกไปลุยกับมัน

แม้โลกจะซับซ้อนสุดๆ แต่สิ่งที่เราต้องทำนั้นเรียบง่ายมาก คุณต้องหยุดคิดที่จะวางแผนทุกอย่างล่วงหน้าและสะสมทรัพยากรทุกอย่างให้พร้อมก่อนลงมือ คุณเพียงแต่ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ มุ่งความสนใจไปที่การติดต่อทำความรู้จักผู้คน เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ตื่นตัวกับสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา และอยู่กับปัจจุบันสุดๆ

อย่าเป็น “นักอนาคตนิยม” แต่จงเป็น “นักปัจจุบันนิยม”