ถ้ามองด้วยสายตาที่เชื่อว่า ทุกคนมีคุณค่า และมีความสามารถ พลังของความคิดบวก ก็จะส่งกระแสบวก
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีแฟนคอลัมน์ท่านใดได้คลิกไป youtube เพื่อฟังการบรรยายของเบนจามิน แซนเดอร์ (Benjamin Zander) เรื่องเกี่ยวกับภาวะผู้นำกันบ้างไหมค่ะ หรือมีท่านใดคลิกชมการอำนวยวงบอสตันฟิลฮาร์มอนิค ออร์เคสตรา ที่แซนเดอร์เป็นวาทยกรประจำวงกันบ้าง หากยังไม่มีโอกาสคลิกไปชม ดิฉันขอชี้ชวนให้ลองดูค่ะ จะได้ฟังการบรรยายที่น่าสนใจ และได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ในการมองตัวเอง มองผู้อื่นอย่างที่ท่านอาจไม่เคยค้นพบมาก่อน
แต่ในระหว่างที่ยังไม่ไปท่องเน็ต ก็อ่านคอลัมน์ของดิฉันให้จบก่อนก็แล้วกัน เพราะว่าวันนี้จะคุยให้ฟังถึงแนวคิดของแซนเดอร์ที่มอบคำแนะนำให้ผู้นำทุกคนว่า ผู้นำที่แท้จริงคือผู้ที่สามารถ “แผ่รังสีแห่งความเป็นไปได้” (Radiating possibility)
แซนเดอร์ได้ร่วมกันเขียนหนังสือกับภรรยาของท่านคือ โรซามุนด์ แซนเดอร์ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา หนังสือทรงคุณค่าเล่มนั้นคือ “The Art of Possibility” ซึ่งเป็นหนังสืออ่านง่าย สำนวนโวหารไพเราะและสร้างแรงบันดาลใจได้สูง แม้กระทั่งศาสตราจารย์วอร์เรน เบนนิส (Warren Bennis) “กูรู” ด้านภาวะผู้นำท่านหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียใต้ (University of Southern California) ยังชื่นชมว่าเป็นหนังสือที่ทำให้รู้สึกว่าทุกอย่าง “เป็นไปได้” ทั้งนั้น
ผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานซึ่งต้องรับผิดชอบงานยากๆ ต้องดูแลบริหารคนจำนวนมากๆ คงต้องมีช่วงเวลาที่รู้สึกท้อถอย หมดกำลังใจ ประมาณว่า อย่าว่าแต่จะให้ไปนำหรือบริหารลูกน้องเลย แค่ปลุกใจให้ตัวเองลุกขึ้นมาจากหล่มลึกยังยาก… ทั้งนี้มีหลักคิดอยู่ 6 ประการที่สามารถสรุปได้จาก “The Art of Possibility” ที่อยากมาแบ่งปันกับแฟนคอลัมน์ก็คือ
1. รู้จักพูด แต่ความเป็นไปได้ (Speak possibility) ดิฉันมีมุมมองว่าหลักคิดข้อนี้ของแซนเดอร์ก็เหมือนกับหลักการ “คิดบวก พูดบวก” นั่นเอง ผู้นำที่แข็งแกร่งคือ ผู้ที่ต้องรู้จักสร้างกำลังใจให้ตัวเอง และต้องสามารถปลุกใจให้คนอื่นมีกำลังใจ มีฝันร่วมกับตัวเองด้วย ผู้นำจึงควรเป็นผู้ที่มองโลกในแง่บวก และมองเห็นความเป็นไปได้ มองเห็นข้อดีในสิ่งที่ใครๆ มองว่ามีแต่เรื่องลบ ยกตัวอย่างเรื่องคนเก็บขยะในชีวิตประจำวันของเราก็ได้ คนเก็บขยะบางคนมองว่าขยะคือ สิ่งสกปรก ไร้คุณค่า ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นว่างานของตัวเองนั้นต่ำต้อยไร้คุณค่า แต่คนเก็บขยะบางคนมองเห็นว่าขยะบางอย่างสามารถนำมาเป็นสินค้าหรือเป็นวัตถุดิบของสินค้าบางอย่างได้ คิดแบบนี้คือคิดบวก และเมื่อรู้จักคิดบวกแล้วคนเราก็จะสามารถพูดบวก และทำบวกได้ในลำดับต่อไป
2. มองหาแววตาที่เป็นประกาย (Look for shining eyes.) ดิฉันชอบหลักคิดข้อนี้มาก โดยเฉพาะเวลาต้องสอนหนังสืออยู่หน้าเวทีห้องเรียน ดิฉันจะมองเห็นว่านิสิตทั้งชั้นมีใครสักกี่คนที่ตั้งใจฟังเราบรรยายอย่างสนใจจน “ตาเป็นประกาย” และใครบ้างที่นั่งตาลอย (ไม่รู้ว่าคิดถึงแฟน หรือเบื่ออาจารย์!?) ดิฉันมักจะเลือกมองคนที่ตาเป็นประกายก่อน เพราะดิฉันต้องการ “ชาร์จแบตฯ” ให้กำลังใจตนเองในการสอน จะได้มีแรงไปจุดประกายให้นิสิตที่ตาลอยเปลี่ยนตาเป็นประกายในทีหลัง เพราะขืนมองตาคนตาลอยก่อน เดี๋ยวจะหมดกำลังใจแต่แรกเริ่มนะคะ
3. หยุดเสียงในสมองที่พูดว่า “ฉันทำไม่ได้” คงมีหลายครั้งในชีวิตที่ท่านคิดอยากจะทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เสี่ยงๆ แต่แล้วก็เลิกล้มความพยายามเพราะเสียงในสมองสั่งให้หยุดทำ เสียงนั้นพูดว่า “ฉันคงทำไม่ได้หรอก” แซนเดอร์บอกว่าอย่าไปฟังเสียง! ให้ก้าวล่วงความกลัวนั้นแล้วพยายามหาหนทางแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ที่กางกั้นจะดีกว่า ถึงแม้ทำไม่สำเร็จก็ไม่เห็นจะต้องกลัว เพราะอย่างน้อยก็ได้รู้ว่าทำไมถึงทำไม่สำเร็จ คราวหน้าจะได้ลองวิธีใหม่
4. ดึงผู้อื่นให้ร่วมเส้นทาง “แผ่รังสีแห่งความเป็นไปได้” ร่วมกัน ลำพังผู้นำคนเดียวย่อมฝ่าพายุสร้างสิ่งมหัศจรรย์ไม่ได้หรอกค่ะ ผู้นำต้องสามารถชักจูงจิตใจคนรอบข้างและลูกน้องให้หยุดฟังเสียงในสมองที่สงสัยในความสามารถของตนเอง แต่ให้หัดมองโลกในแง่บวก พูดบวก พูดเรื่องความเป็นไปได้…แล้วก็ลงมือปฏิบัติการเลย!
5. นำโดยทำให้ผู้อื่นทรงพลังแข็งแกร่งมากขึ้น (Lead by making others more powerful.) หลักคิดข้อนี้คือจุดเด่นของวาทยกรอย่างแซนเดอร์ที่ในระหว่างอำนวยเพลงนั้นเขาจะเงียบ ไม่เคยส่งเสียง เพียงแต่ออกท่าทางให้ลูกวงบรรเลงดนตรีอย่างเต็มฝีมือ ผู้นำที่ดีต้องสามารถบริหารให้ลูกน้องดึงจุดเด่นและศักยภาพของเขาออกมาแสดงได้ในระดับสูงสุด ไม่ใช่แสดงนำอยู่คนเดียว
6. ให้เกรด “A” แด่ตัวเองและผู้ร่วมงาน (Everyone gets an “A”) ความหมายคือ อย่ามองตัวเองและผู้อื่นโดยใช้สายตาที่ “ประเมิน” ความสามารถของเราและคนอื่นด้วยกรอบมาตรฐานแคบๆ เท่านั้น แต่ให้มองด้วยสายตาและจิตใจที่เปิดกว้าง อย่าทำตัวเป็นผู้ที่คอยจ้องจับผิดคนอื่น เพราะมันจะทำให้คนรอบข้างเกร็ง แต่ถ้ามองด้วยสายตาที่เชื่อว่าทุกคนมีคุณค่าและมีความสามารถ พลังของความคิดบวกจะส่งกระแสบวกที่กระตุ้นและจูงใจให้คนรอบข้างสร้างผลงานบวกออกมาได้
เริ่มวันนี้ได้เลยนะคะ สำหรับการ “แผ่รังสีแห่งความเป็นไปได้” แทนการ “แผ่รังสีอำมหิต” หรือ “แผ่รังสีแห่งความสิ้นหวัง” อย่างที่หลายคนอาจกำลังทำอยู่โดยไม่รู้ตัว!
ที่มา – http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/siriyupa/20100925/354679/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD…%E2%80%9C%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E2%80%9D.html